ในโลกของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ “ชาเขียว” และ “มัทฉะ” ถือเป็นสองเมนูยอดนิยมที่หลายคนรู้จักกันดี รสชาติหอมละมุนและคุณประโยชน์มากมายทำให้เป็นตัวเลือกของคนรักสุขภาพ แต่แม้จะมาจากต้นชาเดียวกัน (Camellia sinensis) ทั้งสองชนิดนี้กลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องรสชาติ กระบวนการผลิต ปริมาณสารอาหาร และประโยชน์ที่ได้รับ การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้มิตรชาวไร่เลือกดื่มได้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง
ชาเขียวที่เรารู้จักกันทั่วไป มักผลิตจากใบชาที่ผ่านกระบวนการนึ่งเพื่อหยุดการหมัก จากนั้นรีดและตากแห้งเพื่อเก็บรักษากลิ่นและรสชาติให้นาน เมื่อจะดื่มก็นำใบชามาชงกับน้ำร้อนแล้วกรองกากออก
รสชาติของชาเขียวจะมีความอ่อน สดชื่น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ช่วยผ่อนคลาย ทำให้เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับการดื่มระหว่างวัน เพื่อช่วยปลุกความกระปรี้กระเปร่าเล็กน้อยโดยไม่แรงเกินไป อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
มัทฉะมีความพิเศษตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก ก่อนเก็บเกี่ยวจะมีการ พรางแสง ให้ต้นชาได้รับแสงแดดน้อยลงประมาณ 3–4 สัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยลดความขม เพิ่มปริมาณกรดอะมิโน (โดยเฉพาะ L-Theanine) ทำให้ได้รสชาตินุ่มนวลและมีความหวานละมุนตามธรรมชาติ
หลังเก็บเกี่ยว ใบชาที่ได้ (เรียกว่า “เทนฉะ”) จะถูกนำมานึ่ง รีด และตากแห้งเช่นเดียวกับชาเขียว แต่ต่างกันตรงที่จะนำใบไปบดด้วยโม่หินจนกลายเป็นผงละเอียดสีเขียวสด และเมื่อชงมัทฉะ เราจะดื่มทั้งใบชาโดยตรง ไม่ได้กรองออก จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารทั้งหมดที่อยู่ในใบชา
มัทฉะมีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไปประมาณ 2–3 เท่า และยังมีสาร EGCG (Epigallocatechin gallate) ในปริมาณเข้มข้น ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง ลดไขมันในเลือด และเร่งระบบเผาผลาญไขมัน
ชาเขียวและมัทฉะต่างก็มีข้อดีของตัวเอง แม้จะมาจากต้นชาเดียวกัน แต่ต่างกันในเรื่องกระบวนการผลิต รสชาติ และปริมาณสารอาหาร การเลือกดื่มให้เหมาะกับร่างกายและไลฟ์สไตล์จะช่วยให้มิตรชาวไร่ได้รับประโยชน์สูงสุด และดื่มอย่างเพลิดเพลินในทุก ๆ วัน
ขอบคุณที่มา :